วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

บทความเกี่ยวกับประวัติปลาเก๋า

การเลี้ยงปลาเก๋าหรือปลากะรัง
ปลา กะรัง (Epinephelus malabaricus) มีชื่อสามัญ ว่า Brown Spotted Grouper หรือ Esstaury Grouper หรือบางคนเรียกว่า ปลา ตุ๊กแก, อ๊ายเก๋า, ราปู หรือชาวจีนเรียกว่า เก๋าฮื้อ ในมาเลเซีย เรียก Kerapu ในภาษาอังกฤษมีชื่อเรียกทั่วไปว่า grouper ถูกจัดอยู่ใน ครอบครัว Serranidae เป็นปลาทะเลจำพวกหนึ่งซึ่งมีอยู่มากมายหลาย ชนิด ตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ อาศัยอยู่ตามแถบชายฝั่งหน้าดิน ที่ก้น ทะเล และบริเวณที่มีเกาะแก่งหินกองใต้น้ำ และหินปะการัง โดยทั่วไปบางครั้ง เข้ามาอาศัยปากแม่น้ำเพื่อออกหาอาหาร อาศัยในแถบโซนร้อน และอบอุ่น มีนิสัย ไม่ชอบอยู่ร่วมกับฝูง กินปลาเล็ก ๆ ตลอดจนสัตว์น้ำอื่น ๆ เป็นอาหาร เลี้ยง ง่าย อดทน แข็งแรง และเจริญเติบโตเร็ว สามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อดินและใน กระชัง เป็นปลาที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เนื้อมีรสดี มีผู้บริโภคมาก โดย เฉพาะในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ในตลาดการค้าของสิงคโปร์ นิยมปลาที่มี ขนาดน้ำหนัก 600-900 กรัม ราคาของปลาเป็นอยู่ระหว่าง 300-500 บาท ปลากะรัง หรือปลาเก๋าที่นิยมเลี้ยงกันส่วนมาก คือ ปลากะรังจุด น้ำตาล (Epinephelus coioides), ปลากะรัง น้ำตาล (Epinephelus fuscoguttatus), ปลากะรังหางตัด (E. bleckeri) ปลา กะรังลายเสือ (Plectropomus leopardus) ปลากะรังลาย จุด (Pletropomus maculatus) ปลากะรังหน้างอน (Cromileptis altivelis) อีก ชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาเลี้ยงในสภาพแวดล้อมเดียวกัน คือ Epinepelus salmoides มีชื่อสามัญว่า Black Spotted Grouper

ลักษณะสำคัญของปลากะรัง
ปลากะรังเป็นปลาที่สืบพันธุ์วางไข่ในทะเลและลูกปลาจะเข้ามาเจริญเติบโตอยู่ บริเวณชายฝั่งทะเล และปากแม่น้ำ ปลาชนิดนี้สามารถเปลี่ยนเพศได้ ขนาดสมบูรณ์ เพศอายุประมาณ 3 ปี น้ำหนักตัวประมาณ 3 กิโลกรัม จะเป็นเพศเมีย ทั้งหมด เมื่อปลาเจริญเติบโตมีน้ำหนักตัวประมาณ 7 กิโลกรัม ก็จะเปลี่ยนเป็น เพศผู้ ดังนั้นการผสมพันธุ์ของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติจะเกิดจากปลาเพศผู้ที่มี ขนาดใหญ่กับปลาเพศเมียที่มีขนาดเล็กกว่า ปลากะรังไม่สามารถอยู่ในน้ำจืดเช่น ปลากะพงขาวได้ ดังนั้น สถานที่เลี้ยงปลากะรังจึงต้องมีความเค็มตลอดปี อย่าง น้อยต้องมีความเค็มตั้งแต่ 10 ส่วนในพันขึ้นไป (ppt)






สถานที่เลี้ยงปลากะรัง
การเลือกสถานที่เป็นเรื่องแรกและสำคัญยิ่งในการตั้งฟาร์มเลี้ยงปลากะรัง ถ้าเลือกผิดความล้มเหลวในการเลี้ยงจะมีมาก ไม่ว่าจะเป็นบ่อเลี้ยงหรือกระชังก็ตามควรอยู่ในบริเวณต่อไปนี้
- บริเวณที่มีกำบังจากคลื่นลม กระแสน้ำ ไต้ฝุ่น น้ำท่วม และตะกอน
- บริเวณที่ไม่มีน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม การเกษตร และบ้านเรือนไหลลงไปได้
- มีทางคมนาคมสะดวกแต่ต้องปลอดภัยจากการบุกรุกหรือขโมยได้
- มีภูมิอากาศที่เหมาะสม เพราะจะมีผลต่อคุณภาพน้ำ ควรอยู่ในบริเวณที่มีอุณหภูมิและความเค็มไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
- ต้องมีน้ำจืดเพียงพอ เพื่อแก้ปัญหาในระหว่างการเลี้ยง และการรักษาโรค

ก. บ่อที่เลี้ยงโดยน้ำกร่อย
การเลือกสถานที่เลี้ยงในบ่อดินที่ใช้น้ำกร่อยเลี้ยง ถ้าอยากจะเลี้ยงปลาให้โตเร็วและรอดตายสูง ควรจัดการน้ำในบ่อให้มีคุณภาพ ดังนี้
- ความเป็นกรดเป็นด่าง 7.5 – 8.3
- อุณหภูมิ 25.0 – 32.0 0C
- ความเค็ม 20.0 –32.0 ส่วนในพัน (ppt)
- ออกซิเจนในน้ำ (DO) 4.0 – 8.0 ส่วนในล้านส่วน (ppm)
- ไนไตรท์ – ไนโตรเจน 0 –0.05 ส่วนในล้านส่วน (ppm)
- แอมโมเนีย น้อยกว่า 0.02 ส่วนในล้านส่วน (ppm)

ดินพื้นบ่อควรเป็นดินเหนียว ดินร่วนปนดินเหนียว หรือดินร่วนปนทราย อย่าเลือกบริเวณที่ดินเป็นกรด หรือมีการปนเปื้อนของสารเคมี พื้นที่จะต้องมีความลาดเอียงที่พอเหมาะ (อยู่เหนือบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อดินเป็นกรด) เพื่อป้องกันการพังทลาย การซึม และน้ำท่วม จะเป็นประโยชน์อย่างมากถ้าสามารถใช้การขึ้น-ลงของน้ำช่วยในการถ่ายเทน้ำใน บ่อ และบ่อควรมีความลึกไม่น้อยกว่า 0.8 เมตร ควรมีที่เหลือพอที่จะสร้างบ่อบำบัดน้ำและของเสียจากการเลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการเลี้ยงแบบพัฒนา

ข. การเลี้ยงโดยใช้กระชังลอยน้ำ
- ควรตั้งกระชังในบริเวณที่มีคลื่นลมสงบ (ทะเลสาบอ่าวเล็ก ๆ เวิ้งน้ำหลังเกาะ) และมีน้ำไหลถ่ายเทสะดวก สามารถนำเรือเข้าไปถึงกระชังได้
- น้ำควรลึกไม่น้อยกว่า 3 เมตร ในช่วงน้ำลงต่ำสุด (น้ำลึก 15-30 เมตร ดีที่สุด) น้ำไหลถ่ายเทได้ดี และถ่ายเทได้อย่างทั่วถึง ความเร็วกระแสน้ำประมาณ 0.1 เมตร/วินาที
- พื้นทะเลควรเป็นทราย หรือเป็นก้อนกรวดเล็ก ๆ ไม่ควรติดตั้งกระชังใกล้บริเวณที่มีหญ้าทะเลหรือปะการัง เพื่อป้องกันผลกระทบจากการเลี้ยงปลาต่อบริเวณเหล่านั้น
- ควรจะสร้างโรงเรือนใกล้ ๆ บริเวณที่วางกระชัง เพื่อใช้เป็นที่เก็บอาหารและอุปกรณ์เลี้ยงปลา ทำความสะอาดปลาขณะแปรรูปและเป็นที่ผูกเรือ

ลูกพันธุ์ปลากะรังในธรรมชาติ
การเลี้ยงปลากะรังในบ่อหรือในกระชัง ส่วนใหญ่ใช้ลูกปลาที่จับจากธรรมชาติ ทั้งนี้ เพราะการเพาะลูกปลาในโรงเพาะฟักยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร ลูกปลาที่ผลิตได้จึงมีปริมาณที่ไม่แน่นอน เนื่องจากเกิดปัญหาปลาเป็นโรค ลูกปลากินกันเอง ขาดอาหารธรรมชาติที่ลูกปลาต้องการ พ่อแม่ปลาที่นำมาเพาะไม่สมบูรณ์ มีไม่เพียงพอ และปัญหาอื่น ๆ อีกมาก

การรวบรวมลูกพันธุ์ปลากะรัง
ฤดูกาลที่รวบรวมลูกปลาได้มากที่สุดในแต่ละท้องที่จะแตกต่างกัน

เขตรวบรวมลูกปลา- เดือน- ขนาด
- แหลมมาลายู ฝั่งตะวันออกของอินโดนีเซีย (อ่าวเบนเทน) - พฤศจิกายน-เมษายน, กุมภาพันธ์- เมษายน - 2 ซม. โดยเฉลี่ยลูกปลาขนาดเล็ก
- ฝั่งตะวันเฉียงใต้ของไทย (สงขลา และปัตตานี) - ตุลาคม - มีนาคม - 1-2.5 ซม. ลูกปลาขนาดเล็ก
- บริเวณป่าชายเลนของไทย ,มกราคม – มีนาคม - 7.5-10 ซม. ลูกปลาวัยรุ่น
- ทะเลอันดามัน ,พฤษภาคม - ธันวาคม
- ฟิลิปปินส์ - มากที่สุดในเดือนมิถุนายน, ธันวาคม หรือตุลาคม, พฤศจิกายน และเมษายน, พฤษภาคม - ลูกปลาขนาดเล็กและ ลูกปลาวัยรุ่น
- เวียดนาม (ภาคเหนือ) ,มีนาคม - กรกฎาคม (มากที่สุดเดือนเมษายน- พฤษภาคม - ลูกปลาขนาดเล็ก
- เวียดนาม (ภาคกลาง) ,มีนาคม – สิงหาคม ,ขนาดเฉลี่ย 5-10 ซม.
- จีน มณฑลกวางตุ้ง ,มีนาคม - สิงหาคม

2 ความคิดเห็น: